Site icon Top Rank Thailand

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครได้มาทัวร์ญี่ปุ่นต้องมาสักครั้งในชีวิต

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครได้มาทัวร์ญี่ปุ่นต้องมาสักครั้งในชีวิต

            ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นประเทศที่ติดอันดับมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปทัวร์มากที่สุด สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งธรรมชาติที่น่าหลงไหล อาหารการกินมีให้เลือกมากมาย มีสถานที่ช้อปปิ้งใจกลางเมืองอย่างโตเกียว โอซาก้า หรือหากใครต้องการเที่ยวเกาะที่ญี่ปุ่นก็มี ฮอกไกโด ฮอนชู ชิโกกุ และคิวชู  ฤดุกาลของประเทศญี่ปุ่นจะมีด้วยกัน 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่ละฤดูจะมีการจัดเทศกาลตามสถานที่ต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการไปดูซากุระ ไปชมใบไม้แดง เล่นสกี ดูหิมะ ฯลฯ ใครที่มีแพลนว่าจะไปอย่าลืมตรวจเช็คลายละเอียดต่าง ๆ ของสถานที่ที่จะไปช่วงเวลา เปิด-ปิด และเส้นทางการเดินทางให้ดีก่อนเพื่อจะได้ประหยัดเวลาในการเดินทาง อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือการซื้อของใช้หรือของฝากกลับมาอย่าลืมตรวจดูนำหนักและสิ่งของต้องห้ามด้วย หากใครยังนึกไม่ออกว่าเที่ยวญี่ปุ่นแล้วจะไปที่ไหนก่อนลองมาดูไอเดียของสถานที่ท่องเที่ยวที่ทาง Top Rank Thailand แนะนำดูว่ามีที่ไหนที่น่าสนใจบ้าง

1. บึงฮัปโป (Happo Pond) นางาโน่

            หากได้มาทัวร์ญี่ปุ่นแล้วลองมาสูดบรรยากาศธรรมชาติที่ บึงฮัปโปะ ดูสักครั้ง ที่นี่เป็นบึงที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของธรรมชาติ ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติจังหวัดนากาโน่ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2060 เมตร บึงแห่งนี้เกิดจากการทับถมกันของดินทรายเป็นระยะเวลานานจนกลายมาเป็นบึงฮัปโป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาเจแปนแอลป์ซึ่งหากนักท่องเที่ยวเดินทางมาในฤดูหนาวจะมีกิจกรรมการเล่นสกีเป็นที่นิยมของบรรดาคอสกีทั้งจากต่างชาติและชาวญี่ปุ่น หรือหากเป็นฤดูร้อนท้องฟ้าจะมีลักษณะโปร่งใสผืนน้ำเปรียบเสมือนกระจะกสะท้อนเห็นเทือกเขาเจแปนแอลป์ก็สวยงามไปอีกแบบ การเริ่มต้นเดินทางมีบริการสกีลิฟต์หรือนั่งกอนโดล่า (เปิดให้บริการเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม) ราคาไปกลับอยู่ที่ 2900 เยน หรือประมาณ 870 บาท หลังจากลงสกีลิฟต์จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1-2 ชั่วโมง ระหว่างทางเดินจะมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายให้ดูชมเช่น “cairn” เป็นกองหินเล็กๆที่บรรดานักท่องเที่ยวมากกองสุมกันไว้เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์บอกทางในฤดูหนาว มีศาลเจ้าเล็ก ๆ กระจายอยู่ตามยอดเขาต่าง ๆ ตามความเชื่อของศาสนาชินโต และเมื่อเดินทางมาถึงที่บึง Happo ก็จะได้เห็นถึงความสวยงามของธรรมชาติที่ล้อมรอบด้วยทิวเขาและอากาศที่สดชื่นเรียกได้ว่าหายเหนื่อยเลยทีเดียว

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


2. ป่าพิศวง (Shiratani Unsuikyo Gorge) คาโกชิม่า

            ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู มีรายการสารคดีหลายรายการมาถ่ายทำที่นี่ เกาะยะคุชิมะได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์กร UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1993 ภายในป่ามีระบบนิเวศน์ที่อุดมสมบูรณ์หลากหลายประกอบด้วยต้นซีดาร์ญี่ปุ่นที่มีอายุมากกว่า 100 ปีขึ้นไปและมีหญ้ามอสปกคลุมทั่วผืนป่า

บนเกาะยาคุชิมะมักจะมีฝนตกหนักตลอดทั้งปี อุณหภูมิระหว่างระดับพื้นล่างกับบนยอดเขาจะแตกต่างกัน การเดินทางมาที่นี่จึงควรตรวจสอบสภาพบรรยากาศให้ดีก่อน ควรพกพาเสื้อกันฝนติดตัวไปด้วย สำหรับเส้นทางการเดินป่าที่นิยมกันมักจะใช้เส้นทางเดินผ่านดินแดนยาคุชิกิ (Yakusugi) ใช้เวลาในการเดินประมาณ 30 นาที จนถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยเริ่มต้นจะมีรถบัสให้บริการ ราคาค่าโดยสาร 740 เยนหรือประมาณ 220 กว่าบาท เส้นทางนี้เป็นเส้นทางสำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นเดินทาง เหมาะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ทั่วไป (มีค่าบำรุงสถานที่ 300 เยน หรือประมาณ 90 บาท) ตลอดเส้นทางจะพบกับต้นซีดาร์ที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ มีสะพานข้ามแม่น้ำสายใหญ่เชื่อมระหว่างป่าเป็นช่วง ๆ สำหรับใครที่เดินทางมาสำรวจที่ป่าแห่งนี้อย่าลืมปฏิบัติตามกฎของเจ้าหน้าที่ ไม่ทิ้งขยะ ไม่จุดไฟ เพื่อช่วยกันรักษาผืนป่าด้วย

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


3. ทุ่งเนโมฟีลา (Hitachi Seaside Park) อิบารากิ

            เป็นอุทยานแห่งชาติประจำจังหวัดอิบารากิของภูมิภาคคันโต มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ให้ความสนใจในการชมดอกไม้บานตลอดทั้งปี โดยบริเวณรอบทุ่งจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 7 แอเรียได้แก่

ข้อแนะนำสำหรับผุ้ที่มาทัวร์ญี่ปุ่นชมทุ่งเนโมฟีลาคือในแต่ละช่วงฤดูการจะมีการจัดกิจกรรมชมดอกไม้นานาชนิดที่แตกต่างกันออกไป สามารถรับชมความสวยงามได้ตลอดทั้งปีโดยจะเก็บค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ที่ราคา 450 เยนหรือประมาณ 135 บาทเท่านั้น การเดินทางมาที่นี่สามารถใช้บริการรถไฟหรือรถบัสจากสถานีโตเกียวก็ได้เช่นกัน

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


4. ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ (Itsukushima Shrine) ฮิโรชิม่า

ตั้งอยู่บนเกาะมิยาจิม่า(Miyajima) จังหวัดฮิโรชิมาประเทศญี่ปุ่น มีอายุแสนยาวนานนับศตวรรษ ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์กรค์ UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ศาลเจ้าแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ที่รู้จักกันทั่วโลกคือ เป็นประตูโทริอิสีแดงความสูงประมาณ 16 เมตรลอยอยู่กลางทะเล ทัศนียภาพล้อมรอบไปด้วยทิวเขาที่จัดเป็นหนึ่งในสามของทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น ในความจริงแล้วเสาโทอิริถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.1711 และถูกบูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2418 ในช่วงที่น้ำลงจะมีนักท่องเที่ยวนำเหรียญไปวางไว้ที่ขารองเสาแล้วอธิษฐานขอพร อาคารบริเวณศาลเจ้าประกอบไปด้วย โรงละครโนะ อาคารสำหรับสวดภาวนา โดยทั้งหมดจะเชื่อถึงกันเป็นพื้นทางเดิน จุดพีคอีกช่วงคือช่วงเวลากลางคืนจะมีแสงสว่างจากโรงแรมเรียวกังถึงช่วงเวลา 23.00 น. ให้นักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์พร้อมกับใส่ชุดยูคาตะและรองเท้าแตะได้บรรยากาศอย่างมาก การเดินทางมาที่นี่สามารถใช้ท่าเรือเฟอรร์รี่มิยาจิมาโดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


5. ป่าไผ่ (Sagano Bamboo Forest) เกียวโต

            เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของเกียวโตที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเก็บรูปความเขียวชอุ่มของป่า การเดินทางมาที่นี่สามารถนั่งรถไฟลงสถานี (Saga Arashiyama) ทางเข้าจะอยู่ใกล้กับบริเวณวัดเทนริวจิ (Tenryo-ji Temple) ป่าไผ่แห่งนี้มีระยะทางเดินมากถึง 500 เมตร ระหว่างทางจะมีต้นไผ่สูงชะรูดเรียบรายอยู่สองข้างทาง ยิ่งเราเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ต้นไผ่ยิ่งมีความสูงและสวยงามมากขึ้นเท่านั้น หากมาช่วงฤดูหนาวจะมีบรรยากาศภายในป่าที่ค่อนข้างเย็นพร้อมกับเสียงลมพัดเพลิดเพลินไปอีกแบบ ความเป็นมาของป่าไผ่มาจากตำนานที่ว่าต้นไผ่นั้นเปรียบเสมือนความแข็งแกร่งของผู้ชาย รวมถึงการใช้ประโยชน์จากต้นไผ่ ระหว่างทางเดินเชื่อมภายในป่าไผ่จะสามารถเดินทางไปยังวัดโจจัคโคและวัดนิโซนินได้ด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะเห็นกันคือมีคู่บ่าวสาวจำนวนมากที่นิยมมาถ่ายรูปพรีเว็ดดิ้ง ณ บริเวณจุดต่าง ๆ ยิ่งช่วงฤดูที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงบรรยากาศโรแมนติกเป็นอย่างมากใครที่ได้มาเห็นเป็นต้องติดใจในความสวยงามของป่าไผ่แห่งนี้

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


6. ศาลเจ้าโมะโตะโนะซุมิอินาริ (Motonosumi-inari Shrine) ยามางุจิ

ใครที่มาทัวร์ญี่ปุ่นลองแวะมาที่ศาลเจ้าโมะโตะโนะซุมิอินาริ จุดเด่นของที่นี่จะเห็นเป็นเสาสีแดงโทริอิจำนวน 123 เสา เรียงรายทอดยาวไปจนถึงมหาสมุทร บริเวณรอบ ๆ เสามีทิวทัศน์ของต้นไม้เขียวขจี ศาลเจ้าแห่งนี้มีตำนานเล่าว่าเป็นที่สถิตของจิตวิญญาณอันศักสิทธิ์ มีชาวประมงฝันว่าเห็นเทพเจ้าปรากฎกายเป็นจิ้งจอกขาวแล้วจึงสร้างวัดขึ้นบริเวณดังกล่าว ตามความเชื่อของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจากต่างแดนนิยมมาขอพรให้ประสบความสำเร็จ ทำมาค้าขายดี และช่วยในเรื่องหาคู่ด้วย บริเวณรอบ ๆ ศาลเจ้าแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่นับว่ากลมกลืนกันได้อย่างลงตัว

หากเดินทางเข้าผ่านเสาแดงมาซักพักจะพบกับกล่องบริจาคอยู่ จุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต่างโยนเหรียญเข้ากล่องซึ่งมีความเชื่อว่าคำอธิษฐานขอพรจะส่งไปถึงเทพเจ้า และหากเดินมุ่งหน้ามาทางมหาสมุทรจะพบกับประตูศาลเจ้าที่เรียกว่า น้ำพุวังมังกร (Dragon Palace Geyser) เป็นจุดที่มีคลื่นซัดเข้าช่องหน้าผาจนเกิดน้ำพุ่งขึ้นไปบนอากาศทำให้ดูเหมือนกับมังกรพ่นน้ำ ที่นี่ถือเป็นสถานที่อีกปนึ่งแห่งที่ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วต้องเดินทางมาแวะชม

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


7. วัดนินนาจิ (Ninnaji Temple) เกียวโต

            จัดเป็นมรดกโลกอีกหนึ่งสถานที่ตั้งอยู่ที่เกียวโต มีการค้นพบตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.888 เป็นวัดศาสนาพุทธนิกายชินกอน โดยจักรพรรดิโดโดองค์ที่ 58 แต่ยังสร้างไม่เสร็จก็เกิดการสวรรคต ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.1430 จักรพรรดิอูดะองค์ที่ 59 ได้ดำเนินการสร้างต่อจนสำเร็จ สำหรับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมามากที่สุดจะเป็นช่วงที่ดอกซากุระบาน (กลางเดือนเมษายน) มีต้นซากุระมากกว่า 200 ต้นเรียงรายอยู่ข้างทาง และอีกจุดหนึ่งคืออาคารโกเท็น (Goten) ที่เดิมทีเป็นที่พำนักอาศัยของเจ้าอาวาส มีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับพระราชวังอิพีเรียลที่มีชื่อเสียง ภายในวัดมีเจดีย์ 5 ชั้นตั้งอยู่กลางสวนซากุระ วัดนินจานี้ได้รับการขึ้นทะบียนเป็นมรดกโลกโบราณสถานตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 โดยองค์การ UNESCO สำหรับค่าเข้าชมวิหารจะผู้ที่ 500 เยน (สำหรับผู้ใหญ่) และ 300 เยน (สำหรับเด็ก) การเดินทางมาที่นี่สามารถมาลงรถไฟสถานี Omuro Ninnaji Station [Keifuku Kitano Line]

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


8. หมู่บ้านโบราณโกคายามะ (Gokayama) โทยามะ

            หมู่บ้านที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยโบราณจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ตั้งอยู่ภายในเมืองโกคายาม่า (Gokayama) จังหวัดโทยามะ (Toyama) ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและธรรมชาติ มีอายุมายาวนานกว่า 400 ปี มีรูปทางหลังคาสามเหลี่ยมแบบลาดชัน จุดน่าสนใจอยู่ที่ในฤดูหนาวที่แห่งนี้นั้นจะมีหิมะตกหนัก โครงสร้างของบ้านที่ถูกออกแบบมาเรียกกันว่ากัสโชสึคุริ (Gassho-Zukuri) หลังคาของตัวบ้านมีความชัน 60 องศา เพื่อเวลาที่มีหิมะตกจะไม่เกิดการทับถมกันบนหลังคาจนหลังคาพัง ที่น่าสนใจอีกอย่างคือหลังคาไม่ได้ใช้ตะปูสักตัว ตัวบ้านหันไปตามแนวทิศทางลมเพื่อให้ได้รับความอบอุ่น ใครที่มาทัวร์ญี่ปุ่นแล้วชอบการท่องเที่ยวชมภูมิปัญญาชาวบ้านลองเดินทางมาชมที่หมู่บ้านแห่งนี้ดู สำหรับการเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ในฤดูหนาวจะมีรถบัสที่แล่นโดยตรงจากสถานี JR Takaoka – Gokayama ใช้ในการเดินทางเพียงเวลาเพียง 1 ชั่วโมง

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


9. วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) โตเกียว

            หรือที่เรียกกันติดปากว่าวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นวัดในกรุงโตเกียวที่เป็นที่นิยมมากสำหรับนักท่องเที่ยวอีกวัดหนึ่ง ตามถนนนากามิเสะจะมีร้านค้าสำหรับขายของฝากและเครื่องรางมากมาย และขนมชื่อดังอย่าง คิบิดังโกะ จากร้านอัตสิมะ วัดเซนโซจิสร้าเสร็จเมื่อปี ค.ศ.645 ตามตำนานเล่าว่ามีสองพี่น้องได้ออกเรือหาปลา และตกรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมได้ที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) และเมื่อทิ้งรูปปั้นนั้นลงสู่แม่น้ำรูปปั้นดังกล่าวก็จะลองกลับเข้ามาหาพวกเขาตลอดจึงได้มีการสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม จุดเด่นจะอยู่ที่โคมไฟยักษ์ที่ คามินาริมง (Kaminarimon Gate) ที่มีน้ำหนักมากถึง 700 กิโลกรัม เป็นสัญลักษณ์ของอาซากุสะ หน้าศาลเจ้าสักการะจะมีกระถางธูปขนาดใหญ่ โจโคโระ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาอาบควันธูปตามความเชื่อที่ว่าควันธูปจะช่วยรักษาสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย การเดินทางมาที่นี่ หากมาโดยรถไฟให้มาลง สถานีอาซากุสะ (Asakusa) ของรถไฟใต้ดินสายกินซ่า (Ginza) และสายโทบุ (Tobu Sky tree)

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


10. ปราสาทชูริ (Shuri Castle) โอกินาว่า

            สัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองแห่งราชอาณาจักรริวคิว ตั้งอยู่ในเขตชูริ จังหวัดโอกินาว่า เมื่อปี พ.ศ.2488 ปราสาทแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการรวมอำนาจเกาะไว้เป็นหนึ่งเดียว เนื่องจากมีสงครามทำให้ปราสาทถูกทำลายจนเกือบหมดเหลือเพียงกำแพงไม่กี่ส่วนจนได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2535 ซึ่งตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ปราสาทชูริถูกเพลิงไหม้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกครั้ง นอกจากนั้นที่นี่ยังได้เป็นศูนย์กลางของทั้งการเมือง การทูต การต่างประเทศ และศิลปวัฒนธรรมในยุคสมัยของราชอาณาจักรริวคิว พื้นที่ของปราสาทถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนใช้ประกอบพิธีทางศาสนา “คิโยะ-โนะ-อุชิ” ส่วนที่สองเป็นพื้นที่ส่วนพระองค์ “โอะอุชิบะระ” และส่วนสุดท้ายคือส่วนที่ใช้ในการบริหารแผ่นดิน “อุนะ” นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมหอ เน็นเด็น ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาณาจักรริวกิวได้ สำหรับค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 820 เยน หรือประมาณ 247 บาทต่อคน

ช่องทางติดต่อทัวร์ญี่ปุ่น


สรุป ทัวร์ญี่ปุ่น ที่ไหนดี

นอกจากสถานที่ที่กล่าวมาแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายในประเทศญี่ปุ่นที่น่าไปสัมผัส หากใครที่เดินทางมาเองโดยไม่ได้ใช้บริการทัวร์ญี่ปุ่นควรมีการวางแผนในเส้นทางการเดินทางให้ดี เช่นศึกษาเส้นทางรถไฟสายต่าง ๆ ก่อนว่าจุดที่ต้องการไปท่องเที่ยวนั้นควรต่อรถไฟประเภทไหน เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นจะใช้เส้นทางการเดินทางโดยรถไฟเป็นหลัก อีกเรื่องหนึ่งที่ควรระวังคือเรื่องของมารยาทในการอยู่ร่วมของสังคม เช่น การไม่พูดคุยโทรศัพท์ในขณะอยู่บนรถไฟ เรื่องการดูแลความสะอาด การไม่สูบบุหรี่นอกบริเวณพื้นที่ให้สูบ

Exit mobile version